การพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีหม้ายในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้วิจัย สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคใต้
ปีที่วิจัย 2559
การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรีหม้ายในพื้นที่ 5
จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของสตรีหม้ายในพื้นที่
5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2)
เพื่อศึกษาความต้องการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรีหม้ายในพื้นที่ 5
จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเลือกศึกษาเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส
จังหวัดยะลาและจังหวัดสตูล จำนวน 10 ตำบล ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส 4 ตำบล คือ 1) ตำบลกะลุวอเหนือ
อำเภอเมืองนราธิวาส 2) ตำบลกะลุวอ อำเภอเมืองนราธิวาส 3) ตำบลบาโงสะโต อำเภอระแงะ 4) ตำบลตันหยงมัส อำเภอระแงะ 5)
จังหวัดยะลา 4 ตำบล คือ 1) ตำบลเปาะเส้ง
อำเภอเมืองยะลา 2) ตำบลสะเตง
อำเภอเมืองยะลา 3) ตำบลบาละ
อำเภอกาบัง 4) ตำบลกาบัง อำเภอกาบัง
และจังหวัดสตูล 2 ตำบล คือ 1) ตำบลคลองขุด อำเภอเมืองสตูล และ 2) ตำบลเกตรี อำเภอเมืองสตูล
กลุ่มตัวอย่างสตรีหม้ายในตำบลดังกล่าว ตำบลละ 30 คน รวมจำนวน 300 คน
ซึ่งได้จากการสุ่มแบบเจาะจงหลายขั้นตอน (Multi-Stage Purposive Sampling) ดำเนินการวิจัยในลักษณะของการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Methods
Research) ซึ่งศึกษาทั้งวิธีการเชิงปริมาณ (Quantitative
Method) และวิธีการเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) โดยใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย
แบบสำรวจข้อมูลชุมชน แบบสัมภาษณ์ข้อมูลสตรีหม้ายรายบุคคล แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม
และแบบประเมินระดับความต้องการ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation: S.D.) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการศึกษาพบว่า
1. สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสตรีหม้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้
1.1 สภาวการณ์ชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง พบว่า
สตรีหม้ายส่วนใหญ่มีความยากลำบากในการดำเนินชีวิตในสังคม มีความทุกข์ มีความเครียด
ต้องรับภาระทุกอย่าง ทั้งนี้เนื่องจากการมีเรื่องของเพศภาวะ (Gender) ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ชายเป็นผู้นำ ผู้หญิงเป็นผู้ตาม
เป็นสมบัติของสามี โดยเฉพาะสังคมมุสลิมต้องอยู่ในบ้านห้ามออกนอกบ้าน
มีหน้าที่ทำงานบ้าน ดูแลสามีและลูกให้มีความสุข
ความสบายจนในบางครั้งไม่ได้นึกถึงตัวเอง ไม่มีอำนาจในการใช้เงิน
ต้องคอยรองรับอารมณ์ ความรุนแรง
จนเกิดความเครียดและกดดันซึ่งเมื่อหมดไปก็ย่อมเกิดการหย่าร้างตามมา
1.2 สภาวการณ์ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว
พบว่า การเป็นหม้ายมีผลกระทบต่อครอบครัวของสตรีหม้ายส่วนใหญ่
การเปลี่ยนบทบาทตัวเองจากแม่บ้านมาทำหน้าที่เสาหลักของครอบครัว
มาอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ต้องทำงานหาเงินเพียงคนเดียวเพื่อเลี้ยงดูลูก
น้องให้ได้เรียนหนังสือ ลูกพิการสติปัญญา ตาบอด ลูกหยุดเรียนเพราะติดยาเสพติด พ่อแม่ พี่ชายเป็นอัมพฤกษ์
ต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ประเทศมาเลเซียเพื่อหาเงินมาใช้ในครอบครัวโดยฝากลูกไว้กับญาติพี่น้อง
ที่สะท้อนใจคือลูกต้องการความรักจากพ่อ พยายามเป็นทั้งพ่อ แม่ให้ลูก
ลูกตัดขาดพ่อทั้งนี้เนื่องจากเมื่อสตรีหม้ายแยกตัวออกมาแล้วมาอาศัยกับพ่อแม่
ญาติพี่น้อง จะต้องดิ้นรนเพื่อให้ครอบครัวที่เหลืออยู่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ให้ได้
เพื่อลูกที่กำลังโต “ทำอย่างไรให้ลูกได้กินอิ่ม เรียนสูง ๆ
ไม่ลำบาก ให้ลูกเป็นคนดีของสังคม เรียนจบมีงานทำที่มั่นคง” นั่นคือความฝันของแม่
เป็นเป้าหมาย แรงขับเคลื่อนที่ทำให้ดำเนินชีวิตอยู่ได้
1.3 สภาพรายได้และคุณภาพชีวิต
พบว่า สตรีหม้ายส่วนใหญ่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายในครอบครัว รายได้มาจากการกรีดยาง
การเลี้ยงสัตว์ (แพะ วัว) การปลูกผักพื้นบ้าน การรับจ้าง ทำงานมาเลย์ เป็นลูกจ้างอาหารตามสั่ง
รับนวดแผนไทย รายได้วันละประมาณ 50 – 100 บาท มีเพียงส่วนน้อยที่มีธุรกิจของตัวเอง เช่น
โอทอป (ขนมบุหงาบุดะ)
วิทยากรตัดเย็บเสื้อผ้า ครู กศน. สอนพิเศษ
แต่รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่ต้องรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน
อาหารการกิน การศึกษาลูก ค่ารักษาพยาบาล หนี้สิน ทั้งนี้เนื่องจาก สภาพสังคมไทย
การจ้างแรงงานผู้หญิงยังต่ำกว่าผู้ชาย
เมื่อหย่าร้างกับสามีมักได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจมากกว่า ทั้งเวลาในการทำงาน
รายได้ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของคนในครอบครัว
2. ความต้องการการเรียนรู้เพื่อการปรับปรุงและเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินชีวิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรีหม้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้
พบว่า
สตรีหม้ายมีความต้องการการเรียนรู้เพื่อการปรับปรุงและเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินชีวิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับมาก
โดยสตรีหม้ายมีความต้องการความต้องการการเรียนรู้ด้านการส่งเสริมสนับสนุนตนเองมากที่สุด
รองลงมาคือ
ความต้องการการเรียนรู้ด้านการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างรายได้และคุณภาพชีวิต
และด้านการส่งเสริมสนับสนุนครอบครัว ตามลำดับ
ความคิดเห็น