การประเมินโครงการ
ณัฐภัสสร แดงมณี
ครู สถาบัน กศน.ภาคใต้
ผู้เขียนรับผิดชอบงานประเมินผล
ซึ่งผลงานส่วนใหญ่จะเป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลโครงการ เช่น การเป็นคณะกรรมการประเมินโครงการพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ปีงบประมาณ 2558 จำนวน 10 โครงการ การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษาของสถาบัน กศน.ภาคใต้
รวมถึงการเป็นวิทยากรในหลักสูตร “วิจัยในชั้นเรียน” โดยได้รับหนังสือเชิญจาก
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอทับสะแก
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการอบรมบุคลากรของสถานศึกษาดังกล่าว
ผลงานที่เกิดจึงเป็นลักษณะผลงานทางวิชาการ ในที่นี้จะกล่าวถึง “การประเมินโครงการ”
ซึ่งเป็นงานหลัก
ความสำคัญและประโยชน์ของการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคปฏิรูปการเรียนรู้ต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบองค์ประกอบสำคัญของการดำเนินงานพัฒนาโครงการต่างๆ ภายในสถานศึกษา ข้อมูลจากการประเมินจะช่วยให้ผู้บริหารและคนในองค์กรนำมาใช้ปรับปรุงหรือทบทวนการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา
เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขต่อไป กล่าวคือ
1. นำมาใช้ในการวางแผนโครงการ
2. นำมาใช้ในการปรับปรุงการดำเนินงานโครงการ
3. แสดงถึงผลสำเร็จและความล้มเหลวของโครงการ
4. แสดงถึงประสิทธิภาพของโครงการ
5. ช่วยในการควบคุมการดำเนินงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
6. ช่วยให้ข้อสนเทศแก่ผู้บริหารในการตัดสินใจดำเนินการ
7. ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวิธีการดำเนินการครั้งต่อไป
สรุปได้ว่า การประเมินโครงการเป็นเครื่องมือสำคัญในตรวจสอบจุดเด่น
จุดด้อย ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา
ทำให้สามารถปรับปรุงแก้ไขแผนการดำเนินงานต่างๆ ได้ทันเวลา และยังสามารถสร้างความเข้าใจการดำเนินงานต่างๆ
ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องได้รับรู้ผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นด้วย
กระบวนการที่ปฏิบัติงาน
ผู้เขียนได้มีกระบวนการในการประเมินโครงการในลักษณะเดียวกับการทำวิจัยทางการศึกษาที่สามารถเป็นองค์ความรู้ได้
ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
ศึกษาโครงการและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ก่อนทำการประเมินโครงการผู้ประเมินจะต้องศึกษาให้ละเอียด
ทั้งในเรื่องของรูปแบบการประเมินโครงการและตัวโครงการเอง
การศึกษาในเรื่องของรูปแบบการประเมินโครงการจะทำให้ทราบว่าจะใช้รูปแบบใดในการประเมินโครงการนั้นๆ
ส่วนการศึกษาตัวโครงการจะทำให้เข้าใจความเป็นมาของโครงการ สภาพแวดล้อม
วัตถุประสงค์ ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ
ซึ่งจะทำให้ผู้ประเมินสามารถกำหนดประเด็นการประเมินและตัวชี้วัดต่อไปได้ โดยการศึกษาค้นคว้านั้นอาจทำได้จากแหล่งเรียนรู้
ได้แก่ ห้องสมุด อินเตอร์เน็ต
ตัวอย่างการประเมินโครงการ รายงานการวิจัยการประเมินโครงการ เป็นต้นนอกจากนี้อาจศึกษาจากขุมความรู้
เช่น ดร.ปรีชา จันทรมณี อดีตผู้อำนวยการเชี่ยวชาญสถาบัน กศน.ภาคตะวันออก ดร.รุจิราพรรณ คงช่วย, ดร.นงนภัส มากชูชิต อาจารย์คณะครุศาสตร์
สถาบันราชภัฏสงขลา และนางสมจิตร คาระวี ศึกษานิเทศก์สำนักงาน กศน.จังหวัดสงขลา
เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 2
กำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
ในขั้นตอนนี้ผู้ประเมินจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเราจะประเมินทำไม เพื่อใคร
หรือใครเป็นผู้ใช้ผลการประเมิน
ขั้นตอนที่ 3
กำหนดขอบเขตของการประเมิน
เป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งที่จะทำให้การประเมินโครงการสามารถดำเนินการได้
และบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยพิจารณาจากพื้นที่ที่จะทำการประเมิน บุคคลที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการประเมิน
ขั้นตอนที่ 4
กำหนดตัวบ่งชี้ การกำหนดตัวบ่งชี้ในการประเมินสามารถกำหนดได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ
หรือ การกำหนดตัวบ่งชี้จากรูปแบบการประเมินแบบ CIPP Model ตัวบ่งชี้มีทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในเชิงปริมาณนั้น เช่น จำนวนผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์
ส่วนในเชิงคุณภาพนั้นเช่น ความเหมาะสม ความสอดคล้อง ความพึงพอใจ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 5
ออกแบบประเมินโครงการ บางแห่งเรียกว่าเป็นพิมพ์เขียว (Blue Print) ที่จะทำให้รู้ว่าจะต้องเก็บข้อมูลอะไร
กับใคร ใช้เครื่องมืออะไร
วิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร และอาจนำไปสู่การแปลผลอย่างไรด้วย โดยเครื่องมือที่ใช้อาจเป็นแบบทดสอบ แบบสอบถาม หรือแบบสัมภาษณ์ก็ได้
ขั้นตอนที่ 6
รวบรวมข้อมูล เป็นการเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้
การเก็บรวบรวมข้อมูลอาจทำได้โดยผู้ประเมินเป็นผู้เก็บรวบรวมด้วยตนเอง
หรือขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงาน บุคลากรในสถานที่ที่ประเมินโครงการนั้นๆ
ขั้นตอนที่ 7
วิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา
ตัวอย่างเช่น ข้อจำนวนผู้เข้าร่วมอบรม ใช้ค่าร้อยละ
ความคิดเห็นต่อโครงการที่อยู่ในรูปมาตราส่วนประมาณค่า ใช้ค่าเฉลี่ย
ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากเอกสาร
การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม ฯลฯ
ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา
ขั้นตอนที่ 8
สรุปผลการประเมิน
การสรุปผลการประเมินโครงการ ผู้ประเมินควรเน้นประเด็นที่สำคัญดังนี้คือ
ผลผลิตจากโครงการ ปัญหา และข้อจำกัดของการดำเนินโครงการ ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงโครงการ นอกจากนั้นเน้นไปที่การเกิด “นวัตกรรมใหม่” เช่น เทคโนโลยีหรือเอกสารทางวิชาการ ข้อมูลสารสนเทศ
เป็นต้น
สรุปได้ว่า
กระบวนการปฏิบัติงานในการประเมินโครงการจะมี 8 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การศึกษาโครงการและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการ กำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน กำหนดขอบเขตของการประเมิน กำหนดตัวบ่งชี้
ออกแบบประเมินโครงการ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการประเมิน
ซึ่งการที่จะสามารถประเมินโครงการได้เป็นขั้นตอนที่สมบูรณ์นั้น การ “พาทำ” เป็นแนวทางที่จะทำให้บุคลากรมีทักษะในการประเมินโครงการและสามารถประเมินโครงการของตนเองได้
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการประเมินโครงการ
1. ความหมายของการประเมินโครงการ
ผู้เขียนได้ศึกษาความหมายของการประเมินโครงการจากนักวิชาการหลายท่าน
ได้แก่ ประชุม รอดประเสริฐ (2535)
ปุระชัย
เปี่ยมสมบูรณ์ (2539) สำราญ มีแจ้ง (2544)
สรุปได้ว่า
การประเมินโครงการเป็นเครื่องมือสำคัญในเชิงกลยุทธ์ที่จะสามารถใช้ตรวจสอบการดำเนินโครงการต่างๆ
ตามแผนที่กำหนดไว้ว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดหรือไม่ มีจุดเด่นจุดด้อยประการใด เพื่อประโยชน์ในการทบทวนปรับปรุงแผนการทำงานในทุกขั้นตอน
2. รูปแบบการประเมินโครงการ
รูปแบบประเมินโครงการที่นิยมใช้กัน มีดังนี้
2.1 รูปแบบการประเมินของไทเลอร์ (Tyler) เป็นการประเมินตามวัตถุประสงค์ของโครงการ การประเมินเป็นกระบวนการตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นเทียบกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
โดยเลือกและสร้างเครื่องมือที่จะใช้ในการวัดพฤติกรรมตามที่ได้ระบุไว้ในจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ระบุว่า
ได้มีการบรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพียงใด
2.2 รูปแบบการประเมินของสตัฟเฟิลบีม
(Stufflebeam) / CIPP Model แบ่งการประเมินออกเป็น 4
ประเด็นตามประเภทของการตัดสินใจและการนำไปใช้ประโยชน์ ดังนี้
2.2.1 การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม(Context
Evaluation) เป็นการประเมินก่อนที่จะลงมือดำเนินการในโครงการใด
ๆ เพื่อนำข้อมูลไปกำหนดหลักการและเหตุผล
รวมทั้งพิจารณาความจำเป็นที่จะต้องจัดทำโครงการดังกล่าว การชี้ประเด็นปัญหา ตลอดจนพิจารณาความเหมาะสมของโครงการ (เพื่อวางแผน)
2.2.2 การประเมินปัจจัยเบื้องต้น(Input
Evaluation) เป็นการพิจารณาความเหมาะสม ความพอเพียงของทรัพยากรในการดำเนินโครงการ
ตลอดจนเทคโนโลยีและแผนของการดำเนินงาน (เพื่อกำหนดโครงสร้าง)
2.2.3 การประเมินกระบวนการ(Process Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อหาข้อบกพร่องของการดำเนินโครงการ
(เพื่อนำโครงการไปปฏิบัติ)
2.2.4 การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจากการทำโครงการกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้ (เพื่อทบทวนโครงการ)
2.3
การประเมินเชิงระบบ รูปแบบของ System Approach เป็นการประเมินโครงการในลักษณะที่คล้ายคลึงกับรูปแบบการประเมินของซิป
(CIPP Model) เพียงแต่ไม่เน้นด้านบริบท สิ่งแวดล้อม
หรือผู้ประเมินอาจจะนำด้านบริบท สิ่งแวดล้อมไปรวมอยู่ในด้านปัจจัยนำเข้า
จึงทำให้การประเมินนี้มีองค์ประกอบเพียง 3 ส่วน คือ
2.3.1 สิ่งที่ป้อนเข้าไป (Input)
หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในโครงการ
2.3.2 กระบวนการ (Process) หมายถึง การนำเอาสิ่งที่ป้อนเข้าไปมาจัดกระทำให้เกิดผลบรรลุ
2.3.3 ผลผลิต (Output) หมายถึง
ผลที่ได้จากการกระทำในขั้นที่สอง
2.3 รูปแบบการประเมินของเคิร์กแพททริก (Kirkpatrick) เน้นการประเมินผลการจัดฝึกอบรม โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 4 ระดับ
ดังนี้
2.3.1 การประเมินปฏิกิริยา (Reaction
Evaluation) เพื่อต้องการทราบว่าผู้เรียนหรือผู้เข้าอบรมมีความรู้สึกอย่างไรต่อการฝึกอบรม
มีความพึงพอใจต่อการฝึกอบรมเพียงใด เช่น ความพึงพอใจต่อหลักสูตร เนื้อหา
กิจกรรม และวิธีการฝึกอบรม รวมทั้งความรู้ ความสามารถ
และเทคนิคการถ่ายทอดของวิทยากรตรงตามความต้องการหรือทำให้ผู้เข้าอบรมมีความพึงพอใจ
หรือไม่เพียงใด
2.3.2 การประเมินผลการเรียนรู้(Learning
Evaluation) โดยควรตรวจสอบให้ครอบคลุมทั้งด้านความรู้(Knowledge)
ทักษะ(Skills)
และเจตคติ (Attitude)
เพื่อต้องการทราบว่า
ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้ได้ปรับปรุงและพัฒนาทักษะอะไรบ้าง และมีเจตคติต่อการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่
เพียงใด ทั้งนี้จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานของผู้เข้าอบรมในโอกาสต่อไป
2.3.3 การประเมินพฤติกรรม (Behavior
Evaluation) เป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนหรือผู้ผ่านการอบรมได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นไปตามความคาดหวังของหลักสูตรหรือโครงการหรือไม่
วิธีการประเมินอาจติดตามประเมินโดยใช้แบบสอบถาม โดยสอบถามจากผู้บริหาร
เพื่อนร่วมงาน และ การออกไปติดตามจริง
2.3.4
การประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อองค์กร (Results Evaluation)
เป็นการตรวจสอบว่า ผลจากการอบรมได้เกิดผลดีหรือผลกระทบต่อองค์กรในลักษณะใดบ้าง
พฤติกรรมของบุคลากรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือผลที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการจัดหลักสูตรหรือโครงการฝึกอบรมโดยตรง
ก็แสดงว่าหลักสูตรหรือโครงการฝึกอบรมนั้นก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อองค์กร
ผู้เขียนขอเสนอแนวคิดว่า หลักในการเลือกรูปแบบการประเมินให้เหมาะสมกับโครงการ
คือ
1. พิจารณาวัตถุประสงค์ของโครงการว่า ขอบข่ายการประเมินแค่ไหน
ต้องการเน้นประเมินอุไร ซึ่งหากตรงกับรูปแบบการประเมินที่มีอยู่แล้ว
อาจเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม เช่น
1.1
ประเมินทั้ง 4 ด้าน คือ ประเมินบริบท สภาพแวดล้อม (Context) ประเมินปัจจัยนำเข้า (Input) ประเมินกระบวนการ (Process)
และประเมินผลผลิต (Product) ก็ใช้รูปแบบการประเมินของซิป
(CIPP Model) ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเหมาะสมกับโครงการทั่ว ๆ ไป
ที่ไม่ใช่โครงการฝึกอบรม เพราะมีความครอบคลุมและชัดเจน ประโยชน์ที่ได้จะทำให้สามารถเลือกโครงการให้เหมาสม
กำหนดวิธีการดำเนินงาน กำกับให้เป็นไปตามแผนงาน สุดท้ายคือยุติ ชะลอ
หรือขยายโครงการต่อไป
1.2 ประเมิน 3 ด้าน คือ ประเมินปัจจัยนำเข้า (Input) ประเมินกระบวนการ
(Process) และประเมินผลผลิต (Output)/ผลลัพธ์
(Outcome) ก็ใช้การประเมินเชิงระบบ รูปแบบของ System
Approach รูปแบบนี้ผู้เขียนเห็นว่ามีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก
เหมาะสมกับโครงการทั่ว ๆ ไปเช่นกัน และหากต้องการทราบผลลัพธ์ของโครงการ
อาจประเมินไปถึง ผลลัพธ์ (Outcome)
ได้
1.3 ประเมินที่ต้องการทราบปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction) การเรียนรู้(Learning) พฤติกรรม (Behavior) และผลที่เกิดขึ้นต่อองค์กร (Result)
ควรใช้รูปแบบการประเมินของเคิร์ก แพททริก (Kirkpatrick)
ผู้เขียนเห็นว่าเหมาะกับการประเมินโครงการฝึกอบรมเพราะเป็นการประเมินความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมในการดำเนินโครงการและประเมินผู้อบรมว่ามีความรู้
ความเข้าใจและเกิดทักษะเพิ่มขึ้นเพียงใด
ส่วนการประเมินพฤติกรรมและผลที่เกิดขึ้นต่อองค์กรอาจประเมินไปหลังจากอบรม 3-6
เดือน เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ก่อน
1.4
ประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน กำหนดเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน
เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ทดสอบก่อนเรียน สอนด้วยวิธีการที่เหมาะสม
ทดสอบหลังเรียน เปรียบเทียบผลก่อนเรียนและหลังเรียน
สุดท้ายนำผลมาพัฒนาการเรียนการสอน วิธีการนี้เหมาะสมที่จะใช้รูปแบบการประเมินของไทเลอร์ (Tyler)
และผู้เขียนเห็นว่าเหมาะสมกับการเรียนการสอนในชั้นเรียนเพราะสามารถวัดและประเมินได้ชัดเจน
มีระยะเวลาและกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอน
2.
ประเมินตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้
บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้ตามรูปแบบต่าง ๆ เพราะไม่ตอบสนองวัตถุประสงค์
ผู้ประเมินอาจใช้ดุลยพินิจพิจารณากำหนดกรอบประเมินตามความเหมาะสมได้
3. การสร้างเครื่องมือในการเก็บข้อมูลเพื่อประเมินผล
เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลที่นิยมใช้กันทั่วไป
มี 4 อย่าง
คือการใช้แบบสอบถาม (Questionaire) การสัมภาษณ์(Interview) การสังเกต (Observation) การใช้แบบทดสอบ (Testing)
3.1 การใช้แบบสอบถาม
แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพราะประหยัดงบประมาณ เวลา
และเหมาะสมกับการเก็บข้อมูลที่อยู่ในลักษณะกระจาย และเป็นจำนวนมาก ๆ
3.1.1 ชนิดของแบบสอบถาม จำแนกได้ 2 ชนิด คือ
1) แบบสอบถามปลายเปิด (Open
ended Questionnaire) เป็นแบบสอบถามที่กำหนดคำถามแล้วไม่มีคำตอบให้เลือก
ผู้ตอบสามารถเขียนตอบตามความต้องการ เช่น
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมที่มีต่อการเข้ารับการฝึกอบรม
หัวข้อวิชาที่ต้องการให้เพิ่มลงไปในหลักสูตร
เป็นต้น
2) แบบสอบถามปลายปิด (Close Ended Questionnaire) เป็นแบบสอบถามที่กำหนดคำถาม และมีคำตอบให้เลือก เช่น
เพศ ( )
ชาย (
) หญิง
อายุ ( ) 20 -
30 ปี ( ) 30 -
40 ปี (
) 41 ปีขึ้นไป
3.1.2 ลักษณะของแบบสอบถามที่ดี
1) มีรูปร่างและขนาดของแบบฟอร์ม
และตัวอักษรเหมาะสมได้ขนาด อ่านง่าย
2) เรียงเลขข้อ และหน้าอย่างมีระเบียบ
เว้นระยะให้สะดวกแก่การอ่าน
3) มีคำแนะนำในการตอบอย่างชัดเจน
พร้อมตัวอย่าง (ถ้ามี)
4) ใช้กระดาษที่มองดูน่าสนใจ
และอาจมีสัญลักษณ์อื่น ๆ เช่นรูปภาพ
5) ข้อคำถาม ไม่ควรมีคำถามมากนัก
เพราะจะใช้เวลามากเกินไป
6) ควรมีจดหมายนำแบบสอบถาม
(หรือข้อความนำ) อธิบายจุดมุ่งหมาย และความสำคัญของการตอบด้วย
การสร้างแบบสอบถามที่ดีและใช้ได้อย่างเหมาะสมนั้นต้องอาศัยการกำหนดจุดมุ่งหมายที่จำเพาะและชัดเจน ข้อความที่ใช้ต้องเป็นภาษาที่ดีเข้าใจง่าย
และรูปแบบของแบบสอบถามต้องน่าสนใจด้วย
3.1.3 ขั้นตอนในการสร้างแบบสอบถาม
1) กำหนดวัตถุประสงค์ของแบบสอบถาม
2) กำหนดประเด็นหลักของเนื้อหา
3) แจกแจงประเด็นหลัก ประเด็นย่อย
4) กำหนดจำนวน และประเภทของข้อคำถาม
5) ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อคำถามกับประเด็นย่อย
ประเด็นหลัก
6) ทดลองใช้ แก้ไข
จัดพิมพ์
3.2 การสัมภาษณ์ (Interview)
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลในลักษณะที่ผู้รวบรวมข้อมูลมีโอกาสพบปะสนทนากับผู้ให้ข้อมูล
แต่เป็นการสนทนาแบบมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน
อาจทำแบบเป็นทางการ หรือแบบไม่เป็นทางการก็ได้
3.2.1
ประเภทของการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างแน่นอน
(Unstructure Interview) ใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูลแนวลึก รายละเอียดมาก ๆ
ในแบบสัมภาษณ์จะมีแต่หัวข้อใหญ่ ๆ การตั้งคำถามอยู่ที่ผู้สัมภาษณ์เอง ดังนั้นการตั้งคำถามในรายละเอียดของผู้สัมภาษณ์
แต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์ หรือข้อมูลที่ได้ในขณะสัมภาษณ์
2) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structure
Interview) แบบสัมภาษณ์แบบนี้มีลักษณะเป็นแบบสอบถาม
มีรายละเอียดของคำถามต่าง ๆ ที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการถามผู้ถูกสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ทุกคนจะถามคำถามที่เหมือน ๆ กัน
3.2.2 เทคนิคการสัมภาษณ์ที่ดี
1) พยายามสร้างสถานการณ์ให้ดูเป็นการสนทนา
2) อย่าพูดจาเชิงสอนผู้ถูกสัมภาษณ์
3) หลีกเลี่ยงข้อความที่กระทบกระเทือนผู้ถูกสัมภาษณ์
4) ต้องมั่นใจว่าผู้ให้สัมภาษณ์เข้าใจคำถาม
5) อย่าใช้อารมณ์ในขณะสัมภาษณ์
6) ถ้าจะใช้เครื่องบันทึกเสียงต้องขออนุญาตผู้ให้สัมภาษณ์ก่อน
7) ควรมีคำถามที่ตรวจสอบคำตอบได้ด้วย
โดยมิให้ผู้สัมภาษณ์รู้ตัว
8) กรณีที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบไม่ตรงประเด็น
ต้องพยายามตะล่อมให้เข้าจุด
3.3 การสังเกต (Observation)
เป็นกระบวนการในการเก็บข้อมูล โดยการบันทึกพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างในสถานการณ์เฉพาะ
โดยอาศัยประสาทสัมผัสของผู้สังเกตเป็นหลัก ซึ่งควรได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว
3.3.1 ประเภทของการสังเกต
1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation)
2) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant
Observation)
3) การสังเกตแบบกึ่งมีส่วนร่วม (Quasi-participant
Observation)
3.3.2 ลักษณะของแบบสังเกตที่นิยมใช้
1) แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นเครื่องมือที่ประกอบด้วยข้อความซึ่งระบุถึงพฤติกรรมต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการประเมิน การบันทึกส่วนใหญ่จะเป็นการบันทึกว่ามีหรือไม่
2) แบบประเมินค่า (Rating
Scale) เป็นแบบสังเกตที่ใช้ในการประเมินของสิ่งที่สังเกต
โดยการแปลงค่าในด้านคุณภาพให้อยู่ในรูปของตัวเลขหรือประมาณ
โดยการจัดลำดับความมากน้อย เช่น การบันทึกพฤติกรรมการสอนของวิทยากร
3.4 การใช้แบบทดสอบ (Testing)
แบบทดสอบ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความรู้ ความเข้าใจ
ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
3.4.1 แบบเลือกตอบ (Multiple
choice item) ลักษณะแบบทดสอบจะเป็นแบบมีคำถามและคำตอบหลายคำตอบให้เลือก
ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีตัวเลือกประมาณ 3 – 5 ข้อ แต่จะมีข้อถูกเพียงข้อเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีแบบทดสอบแบบเลือกตอบที่ใช้ในการสัมภาษณ์หรือใช้กับผู้ให้ข้อมูลที่มีความรู้น้อย
ซึ่งแบบทดสอบที่ว่านี้จะเป็นแบบถูกกับผิด หรือมีกับไม่มี
3.4.2 แบบตอบสั้น (Short answer test) ลักษณะแบบทดสอบจะเป็นแบบที่ต้องการคำตอบจากผู้ตอบเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
ทั้งนี้เพื่อดูว่าผู้ตอบนั้นมีความรู้ความเข้าใจมากน้อยเพียงใดกับเรื่องที่ถาม
3.4.3 แบบความเรียง (Essay test) ลักษณะของแบบทดสอบจะเป็นแบบที่ผู้ตอบสามารถตอบคำถามนั้นได้อย่างอิสระ
การตอบจะตรงประเด็นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจของผู้ตอบแบบสอบถามแต่ละคน
4. การหาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (IOC)
การหาค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญจากการให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแบบสอบถามการวิจัย IOC คือ ค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม หรือค่าสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ หรือเนื้อหา (IOC
: Index of item objective congruence) ปกติแล้วจะให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ตั้งแต่ 3
คนขึ้นไปในการตรวจสอบโดยให้เกณฑ์ในการตรวจพิจารณาข้อคำถาม ดังนี้
ให้คะแนน +1
ถ้าแน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์
ให้คะแนน 0
ถ้าไม่แน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์
ให้คะแนน -1
ถ้าแน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
แล้วนำผลคะแนนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า IOC ตามสูตร
4.1 เกณฑ์
4.1.1 ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00
มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้
4.1.2 ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 ต้องปรับปรุง
ยังใช้ไม่ได้
4.2 วิธีการหาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม
(IOC)
ตัวอย่างเช่น ข้อคำถาม ข้อ 1
ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน แต่ละท่าน ให้คะแนนมา คือ +1 ทั้ง 5 ท่าน การหาค่าIOC คือ หาผลรวมของคะแนนในข้อ 1
โดยการบวก 1+1+1+1+1 เท่ากับ 5 คะแนน
แล้วนำมาหารด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญ คือ ผลรวมคะแนน/จำนวนผู้เชี่ยวชาญ เท่ากับ 5/5 =
1.00 จากนั้นนำผลไปเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้
จากผลการหาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม IOC แสดงว่า
ข้อคำถามมีความเที่ยงตรงสูงนำไปใช้ได้ส่วนข้ออื่น ๆ
ก็ทำหลักการเดียวกันทั้งหมดทุกข้อคำถาม
กรณีผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน
ตัวอย่าง เช่น
ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 5
คะแนน = 1.00 มีค่าความเที่ยงตรง
ใช้ได้ ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 4
คะแนน = 0.8
มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้ ผลคะแนน
ทั้ง 5 ท่าน ได้ 3 คะแนน =
0.6 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้
ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 2
คะแนน = 0.4 ค่าความเที่ยงตรงต่ำกว่า 0.50 ยังใช้ไม่ได้
ต้องปรับปรุง ผลคะแนน ทั้ง 5 ท่าน ได้ 1
คะแนน = 0.2 ค่าความเที่ยงตรงต่ำกว่า 0.50
ยังใช้ไม่ได้ ต้องปรับปรุง
อ้างอิง
ประชุม รอดประเสริฐ. (2535). การบริหารโครงการ. กรุงเทพฯ : เนติกุลการพิมพ์.
ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์. (2539). การวิจัยประเมินผล :หลักการและกระบวนการ .
กรุงเทพฯ : คณะรัฐประศาสนศาสตร์
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สำราญ มีแจ้ง. (2544).
สถิติชั้นสูงสำหรับการวิจัย. กรุงเทพฯ
: นิชินแอดเวอร์ไทชิงกรุ๊ป
ความคิดเห็น